เทศน์เช้า

บุญพาเกิด

๑๖ ก.ย. ๒๕๔๓

 

บุญพาเกิด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราเกิดนี่ บุญกุศลพาเกิด เวลาเราเกิดมาอยู่ในท้องแล้วคลอดออกมา ถ้าคลอดออกมาแล้วนี่ ดูสิ ดูคนที่เกิดมาแล้วแต่แบบว่าไม่สมประกอบนี่ เกิดมากรรมพาเกิด แล้วชีวิตหนึ่งทั้งชีวิตเลยต้องทุกข์ทรมานไปอย่างนั้น แล้วคนเกิดมาสติไม่ดี ตั้งแต่เด็กเลยนะ แล้วชีวิตต้องเป็นแบบนั้น เกิดมาแล้วมีวิญญาณเหมือนกัน มีจิตเหมือนกัน แต่ไม่มีสติ สติมันไม่พอ

อย่างพวกเราว่าเวลาฝึกสมาธิกันว่าเราไม่มีสติ ๆ น่ะ สติเรามีนะ ถ้าเราไม่มีสติเราจะเป็นอย่างนั้น มีจิตอยู่ จิตคือตัวรู้อยู่ สติคือตัวระลึกรู้อยู่ มันมีความละอาย มีความรับรู้ สติมันพร้อมไป นี่ถ้าจิตสมประกอบ เราว่าเราถึงมีบุญกุศลกันมาก เกิดมาแล้วสมประกอบหนึ่ง แล้วเจอพุทธศาสนา เวลาเกิดมานี่ เกิดมามันศีล ๕ บริสุทธิ์ มนุษย์สมบัตินี่เราเกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วนี่ ยังพบพระพุทธศาสนา ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนา อย่างเช่นเราหาของได้นี่ การรักษาของนั้นเป็นเรื่องภาระมากเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราได้ชีวิตมานี่ แล้วเรารักษาชีวิตเราให้รอดพ้นไปด้วยความสะดวกสบายนี่ มันถึงว่ามีพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงว่า สอนให้การเสียสละ คือให้ทาน เราว่าให้ทานนี่เป็นเรื่องของภาระ อย่างที่โยมเรามาทำบุญกุศลกันนี่ เพราะอะไร? เพราะว่าพอเราให้ทานออกไปนี่ มันให้อันนั้น แต่ผลมันกลับมาการดำรงชีวิตไง รักษาชีวิตที่ว่า รักษายากนี่ ของได้ได้มาง่าย แต่การรักษาไว้รักษายาก

นี่ก็เหมือนกัน บุญกุศลสืบต่อ ๆ ไป เราสละออกเป็นให้สละทานไป เห็นไหม มันปลดเปลื้องความกังวลของใจ มันปลดเปลื้องความทุกข์ มันปลดเปลื้องสิ่งที่ในหัวใจนี่ อันนี้ถึงว่ามันก็รักษามนุษย์สมบัติไง เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์สมบัตินี่ มันประเสริฐอยู่แล้ว แต่การดำรงชีวิตให้มันมีความสุขพอสมควรไป อันนี้มันทำให้เราประเสริฐกว่า เห็นไหม อย่างที่ว่านี่ จิตคนเราตายแล้วมันต้องเป็นไปอีก แล้วเราไม่เคยเห็นไง เราไม่เคยเห็นตรงนั้น

ดูนะ ในว่าเรามีความทุกข์ แล้วไปดูคนที่ว่าสติไม่สมประกอบมาน่ะ ทั้งชีวิตเลยจะอยู่สภาวะแบบนั้น วันวันหนึ่งเดินไปเดินมา เวลาของเขาไม่มีค่าอะไรเลย เวลาของเรานี่ถ้ามีความทุกข์อยู่ เออ...มันนาน เนิ่นนานหน่อย แต่ถ้ามีความสุขนี่ แป๊บเดียว ๆ นะ วันเวลานี่ล่วงเลยไปเร็วมากเลย

ฉะนั้นเพราะการว่าเวลาล่วงไปเร็วมากนี่ การทำคุณงามความดีมันถึงว่า ถ้าเราแยกออกทำคุณงามความดีไง แยกออกมาทาน แยกออกมาศีลมาภาวนานี่ เวลายิ่งภาวนาเวลามันยิ่งมากเข้าไปใหญ่ ถ้ามันภาวนาไม่ได้นะ เวลามันมากเพราะอะไร? มันนั่งไปปั๊บนี่ มันจะให้ได้ ๕ ชั่วโมงไง เพราะเวลานั่ง แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าจิตมันสงบ ในเวลาที่มันสงบนี่เวลาที่จะทำคุณงามความดี เวลาที่ว่ามันจะให้คุณประโยชน์กับเรา

แต่ถ้าเราไม่คิดอย่างนั้น มันเป็นอย่างอื่นไป การดำรงชีวิต ชีวิตของเรา ถึงว่าเกิดมาพบพุทธศาสนานี่ประเสริฐที่สุด แล้วเกิดในประเทศอันสมควรด้วย เห็นไหม มีวิกฤตขนาดไหนเราก็พอเป็นไปของเราได้ วิกฤตของคนอื่นนี่มันต้องล้มล้างกันเกือบหมดประเทศนะค่อยเข้ามาประสานกันได้ แต่ของเราวิกฤตขนาดไหนก็แล้วแต่ มันเป็นไปเพราะว่า เพราะจิตใต้สำนึกของพวกเรา เห็นไหม จิตใต้สำนึกของสังคมชาวพุทธน่ะมันมีการเสียสละโดยพื้นฐาน

นี่ความให้อภัยกันมันมีโดยพื้นฐาน สังคมไทยมันตกผลึกในหัวใจ ความคิดของเรานี่ อย่างที่ว่าปล่อยวาง ๆ ๆ เวลาปล่อยวาง สิ่งนี้เป็นแล้วแล้วกันไป นี่ในสังคมพุทธสอนอย่างนั้น จิตใต้สำนึกมันมีอยู่ แต่กิเลสมันปกคลุมไว้ กิเลสปกคลุมไว้ว่าถึงเวลาเหตุการณ์เฉพาะหน้ามันจะเอาให้ได้ก่อน แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วมันเป็นไม่ได้ มันก็ต้องยอมรับตรงนั้น ยอมรับตรงนั้นเพราะว่าสิ่งของเรานี่ อย่างว่าเรื่องของศาสนามันฝังลึกอยู่ในหัวใจ ถ้าเราเกิดเป็นชาวพุทธมาเรื่อย มันสะสมมา ๆ แล้วมันตรงกัน เห็นไหม

อย่างเช่นว่าจริตนิสัยนี่ อย่างเช่นฝรั่งมาเมืองไทยเหมือนกัน ทำไมมาเจอเรื่องของศาสนานี่มันสนใจ ความสนใจ บางคนเขาไม่สนใจ เขาดูถูกด้วย เขาดูถูกดูแคลนว่ามันเป็นความด้อยพัฒนา แต่ถ้าผู้ที่มีจริตนิสัยในหัวใจ มันไม่มองถึงว่าด้อยพัฒนาหรือว่าพัฒนาแล้วนะ มันดูที่ว่ามันให้ผลกับความจริงไหม ตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้วศาสนาพุทธนี่มันสอนได้ มันพิสูจน์ได้ ตามหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางจิตด้วย มันให้ผลเป็นอย่างไร

ดูสิ ชีวิตเรียบง่ายนี่ทุกคนปรารถนา เขาเกิดในประเทศอันสมควร ประเทศของเขาจะอยู่อย่างเราไม่ได้ ประเทศของเขาเป็นเมืองหนาว มันต้องมีการทำความอบอุ่น ต้องสร้างบ้านให้อยู่ในสภาพแบบนั้น แล้วพลังงานที่เขาหามานี่ มันต้องใช้ขนาดไหน ประเทศของเรานี่ มันอยู่กระต๊อบห้องหอก็อยู่ได้ เพราะว่า ๓ ฤดูนี่มันหมุนเวียนไป มันยุ่งเฉพาะหน้าน้ำหน่อย ถ้าหน้าน้ำน้ำท่วมนี่มีปัญหาหน่อย แต่ถ้าใน ๓ ฤดูนี่ หนาวก็ไม่หนาวจัดเกินไป ร้อนก็ไม่ร้อนจัดเกินไป นี่ ๓ ฤดู มันพออยู่ได้

แต่เราไปเชื่อสื่อกัน เราไปเชื่อว่าพัฒนาแล้วต้องอยู่ในสภาวะแบบนั้น ถึงว่ามองแล้วถึงว่าเป็นประเทศด้อยพัฒนาไง แต่ถ้าดูความเรียบง่ายนะ ถ้ามันมีมันเป็นไป เราจะอยู่อย่างนั้นมันก็เป็นไป แต่นี่เราไปทำอย่างนั้นแล้วเราต้องเสียพลังงานมากขึ้นไปอีก เราปลูกบ้านปลูกเรือนกันน่ะ ให้มันเสียพลังงานกันโดยที่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์กับประเทศอันสมควรไง ของเขาเขาอยู่ด้วยความจำเป็น ของเราอยู่ด้วยความอยากเอาอย่างเขา เห็นไหม

มันต่างกันตรงนั้น ต่างกันที่ว่าความพัฒนาไม่พัฒนานี่มันอยู่ที่หัวใจ ถ้าเขาคิดของเราเป็นน่ะ ถึงว่ามองความเรียบง่าย ถ้ามองความเรียบง่ายเป็นความด้อยพัฒนานี่ มันแบบว่ามันเสียตรงนี้ เสียตรงว่าเราเกิดในประเทศอันสมควร ประเทศเรามันมีความสุขสภาวะแบบนี้มันอยู่ได้ เราไม่ออกมาเป็นภาระรุงรังจนเกินกว่าเหตุ

นี่ความสุขมันหาได้ด้วยที่ใจ เราไปมองความสุขหาได้ที่วัตถุกัน เราถึงต้องสร้างวัตถุ สร้างบ้านสร้างเรือนกัน ห้องหอนี่ใหญ่มากเลย แต่จริง ๆ แล้วก็นอนเฉพาะห้องนอนของเราเท่านั้น จะบ้านเรือนใหญ่ขนาดไหนก็ใช้เฉพาะห้องนอนที่เราเป็นประโยชน์ในห้องนอนของเราเท่านั้นเอง มีเท่านั้นนะ

แล้วเราก็มาบำรุงรักษากัน นี้ประเทศอันสมควร ประเทศอันสมควรข้างนอก แล้วประเทศอันสมควรในหัวใจ เห็นไหม อย่างถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เรามาวัดมาวานี่ ถ้าชาวพุทธมานี่ มันมากันได้ ถ้าเป็นอย่างอื่นกฎหมายก็ไม่อำนวยนะ อย่างทางยุโรปนี่กฎหมายไม่ให้เลย บิณฑบาตไม่ได้ คือว่าไม่มีการขอทานไง แต่นี่ถ้ามองในว่าเป็นการขอทาน แต่พระพุทธเจ้าว่า “เป็นภิกขาจาร” ภิกขาจารตอนเช้านี่เป็นการโปรดสัตว์ออกไป มันมีการได้การกระทำกัน สังคมมันมีความสุขสุขตรงนี้ไง สุขตรงมีการให้กัน มีความอ่อนนุ่มของหัวใจ หัวใจมันจะเข้ามาข้างใน

นี่ถ้าเป็นหลักของศาสนา การออกกฎหมายมันต้องเพื่อศาสนา ถ้าไม่หลักของศาสนาพุทธก็ออกกฎหมายเพื่ออะไร? ก็ออกกฎหมายไปเพื่อของเขา มันทำอย่างนั้นไม่ได้ นี่เขาถึงว่าเขาไม่มีพระ เขาไม่มีการทำบุญกุศล เขามีแต่การให้ทาน ทานคือการให้กับสัตว์ ให้กับอะไรก็เรียกว่าเป็นทานหมด บุญกุศลให้กับผู้ทรงศีล ผู้มีศีล อย่างที่ว่าทำบุญกับพระพุทธเจ้านี่ได้บุญมากที่สุด เพราะอะไร? เพราะใจดวงนั้นสะอาด ถ้าใจดวงนั้นมันบริสุทธิ์ขึ้นไป มันให้ผลตอบขึ้นมาทับทวีคูณ

ในพระไตรปิฎกมีนะ ที่ว่าให้อาหารไปแล้วนี่ เวลาไถนาขึ้นมาออกมาเป็นทองคำทั้งหมด อันนั้นบุญกุศลกับพระสารีบุตรออกจากสมาบัติ แล้วชาวนานี่ให้ทานไป ไถนาออกมาเป็นบุญกุศล อันนั้นให้ผลที่ว่าให้ผลเห็น ๆ กลับเป็นวัตถุ แต่ความให้ผลเป็นกับหัวใจที่เกิดตาย ๆ นี่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ที่ว่าตายไปแล้วเกิดมาเป็นเทวดา เห็นไหม เคยทำบุญกับพระพุทธเจ้าหนหนึ่ง เคยทำบุญกับพระพุทธเจ้าหนเดียวนะ นี่เป็นเทวดาก็มีวาสนามาก

นี่การเกิดการตาย มันต้องมีการเกิดการตาย ชาวพุทธถึงสะสมใจมาอย่างนั้น ได้ทำบุญกับใคร ได้ทำบุญอย่างไร ทำบุญนี่มันถึงว่า มันเป็นการฝืน การเสียสละ ความฝืนของเราหนึ่ง ฝืนกับกระแสของโลกหนึ่ง กระแสของโลกก็เป็นไปเรื่อย ๆ ว่าการให้การเสียสละอย่างนั้นเป็นคนไม่มีปัญญา

เราคิดว่าเราไม่มีปัญญา แต่ไม่ได้มองคุณค่าของหัวใจ คุณค่าของหัวใจที่ว่าสะสมขึ้นมาแล้วเป็นบุญกุศลของเรา บุญกุศลของเรานะ ทำไมไปไหนมีแต่คนช่วยเหลือ เหตุการณ์เฉพาะหน้า จะมีเหตุการณ์เป็นไปได้ เห็นไหม กับที่ว่าอดอยากยากแค้น ทุกข์แสนทุกข์ แล้วก็มีแต่จนตรอกไป เหมือนกับคนเกิดมาที่ว่าเสียสติ สติไม่สมบูรณ์นั่นน่ะ เกิดมามีแต่คนมองแล้วมันสลดสังเวช แต่เจ้าตัวไม่รู้เลย เจ้าตัวเขาไม่รู้เลย

นี่ก็เหมือนกัน คนมีความคิด ความคิดที่ว่าไม่เชื่อในศาสนา เขาก็คิดอย่างนั้นไง เหมือนกับคนสติไม่สมประกอบ แล้วคนสลดสังเวช เราเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ เห็นเขาคิดอย่างนั้น เราก็น่าสลดสังเวช แต่เขาก็ว่าเราโง่ เราก็ว่าเขาโง่ เห็นไหม ในศาสนาถึงบอกว่า ถ้าโง่นะ ถ้าฉลาดโดยกิเลสพาฉลาด อันนั้นถือว่าเป็นความโง่ แต่ถ้าเชื่อเรื่องของธรรมนี่ โลกเขามองว่าโง่ แต่เป็นคนที่ฉลาด มันอยู่ที่หัวใจใครจะคิดไง จุดยืนของหัวใจของใครจะมีจุดยืนในทางไหน

นี่ถึงว่าเป็นอำนาจวาสนา อันนี้ถึงว่าอำนาจวาสนาแล้วจริตนิสัย จริตนิสัยของคนต่างกันไป มันจะเข้าถึงบุญกุศล เข้าถึงความเชื่อของเรานี่ อยู่ที่จริตนิสัยของเรา เราสะสมบุญกุศลมา เราก็สะสมไปในหัวใจ อธิษฐาน เห็นไหม ทุกคนทำบุญอธิษฐานว่า “อยากให้ถึงที่สุดของทุกข์”

นี่หลักศาสนาสอนสำคัญขนาดนั้นนะ ขนาดว่าถึงที่สุดของทุกข์ได้ มันเป็นเรื่องของนามธรรมที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ ในศาสนาพุทธเรา ๒,๕๔๓ ปีนี่ ทางหลักวิทยาศาสตร์พึ่งพิสูจน์ได้ บางอย่างพึ่งพิสูจน์ได้ เรื่องอริยสัจนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้ากล่าวมาแล้ว ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ฝรั่งพึ่งพิสูจน์เรื่องอริยสัจได้ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์ เขาพึ่งหาพึ่งค้นคว้าได้นะ แล้วเขาทึ่งกันมาก แล้วเขาออกไปตามนั้น

ถึงบอกว่าเวลาเขาพูดถึงเรื่องฝรั่ง เรื่องจิตวิเคราะห์นี่ เขาคิดมาก เขาบอกว่าทึ่งมากในเรื่องจิตวิเคราะห์ของทางฝรั่งเขา จิตวิเคราะห์ของเขา เห็นไหม แต่ในเรื่องอริยสัจของเรามันยิ่งกว่านั้น ขันธ์ ๕ นี่เข้าถึงหัวใจเลย เข้าถึงการชำระทุกข์ได้ นี้ถึงบอกว่าเป็นเป้าหมายของเรา เราจะทำได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ แต่บุญกุศลนี้เป็นพื้นฐานขึ้นมา ภพชาติสั้นเข้า ๆ ไปไหนมีเสบียงไปตลอด รถไปไหนน้ำมันเต็มถังตลอดนี่มันก็อุ่นใจนะ รถไปไหนน้ำมันจะหมด ๆ นี่ มันจะมองหาแต่ที่เติมน้ำมันตลอดเวลา

อันนี้ก็เหมือนกัน หัวใจถ้าไปไหนมีบุญกุศลพาไป มันอุ่นใจตลอดไปนะ แต่หัวใจมันลุ่ม ๆ ดอน ๆ มันก็เป็นไปอย่างนั้น นี่ความเป็นไปของใจ ใจถึงจะมีความสุขความทุกข์นี้ มันอาศัยที่ว่าเราเกิดมาแล้ว เป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เกิดในประเทศอันสมควร แล้วมันเป็นที่ไขว่คว้าได้ไง

ธรรมะนี้เป็นกลางเหมือนแสงแดด สมบัตินี้เป็นของกลางของโลกเขา แล้วเราจะคว้ามาขนาดไหน ไอ้เรื่องของวัตถุนั้นมันเป็นที่พึ่งอาศัย สิ่งที่อาศัยคืออาศัยมากอาศัยน้อย หามาแล้วต้องจากสิ่งนั้นไปทั้งหมด แต่คุณงามความดีมันไม่จาก มันซับไปในหัวใจนั้น ในหัวใจนั้นพาเกิดพาตายไปกับใจนั้นเลย บุญกุศลถึงว่าไปกับใจดวงนั้น จนกว่าอย่างอามิสทานนี่ มันใช้หมด ใช้หมดว่าเสวยภพเสวยชาติไปแล้ว มันใช้หมดไป ๆ

แต่ถ้าทำความสงบเข้ามาในหัวใจ ตัดชำระกิเลสออกไป เป็นอริยบุคคลขึ้นไป ใจอันนั้นสมบูรณ์ สมบูรณ์ที่ว่าไปแล้วถึงตลอด เป็นเนื้อเดียวกันไปตลอดเลย ถึงบอกมันเป็นความหยาบ กลาง ละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ เหมือนกิเลส มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด เรื่องทานนี่เรื่องหยาบ ๆ นะ หยาบ ๆ เวลาเราทำ ถึงว่าเรื่องหยาบ ๆ ก็ทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม ขนาดหยาบ ๆ แต่เป็นวัตถุที่จับต้องได้ เวลาเป็นศีลขึ้นมา ศีลนี่จับต้องไม่ได้แล้ว เป็นการวิรัติขึ้นมาในหัวใจ แล้วอย่างปัญญาความคิดขึ้นมา เห็นไหม

นี่หลักของศาสนา หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ทั้งทุกอย่าง ทั้งอย่างที่ว่าศาสนาถึงที่สุดของทุกข์นี่ก็อย่างละเอียดที่สุดของศาสนา นี้เราต้องเข้าใจตรงนั้น เราภูมิใจในความเป็นเราไง ภูมิใจแล้วอุ่นใจ อย่างเขาคิดอย่างไรเรื่องของเขา นั่นเรื่องของโลก นี่เรื่องของธรรม เอวัง